Click here, to read 100 days of dedication in English.
ในขณะที่หลายคนได้ #WFH (ทำงานจากบ้าน) และ #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ บุคลากรทางการแพทย์กำลังปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่หยุดหย่อนในการรับมือกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่องค์การอนามัยโลก สัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์เกี่ยวกับการทำงาน ความรู้สึกและสิ่งที่คนไทยจะสามารถทำได้เพื่อปกป้องพวกเขาเหล่านั้นในวันที่โรคโควิด 19 กำลังแพร่ระบาด
องค์การอนามัยโลก – จิดาภา สุจันทร์ พยาบาลวิชาชีพของสถาบันบำราศนราดูรเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกที่ไปรับผู้ป่วยโรคโควิด 19 ที่สนามบินว่า วันนั้นเป็นวันที่ 8 มกราคม เมื่อสถาบันฯ ได้รับแจ้งให้ไปรับผู้ป่วยที่สนามบิน ตนกำลังเข้าเวรที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
ผู้ป่วยโรคโควิด 19 คนแรกที่ คุณ จิดาภาไปรับซึ่งต่อมาได้รับการยืนยันว่าเป็นผู้ป่วยโรคโควิด 19 คนแรกของประเทศไทย เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากประเทศจีน เมื่อตรวจวัดอุณหภูมิที่สนามบิน พบว่ามีไข้ เจ้าหน้าที่ประจำสนามบินจึงติดต่อมายังสถาบันบำราศนราดูรซึ่งเป็นสถาบันหลักของประเทศไทยในการดูแลผู้ป่วยโรคติดต่ออันตราย โรคติดเชื้อ โรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำและโรคติดต่ออื่นๆ
คุณ จิดาภาปฏิบัติหน้าที่มา 5ปี กล่าวว่า ตอนนั้นรู้สึกกลัว ตนไม่เคยมีความเสี่ยงแบบนี้และกลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อ
คุณ สุทธิพร เทรูยา รองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร ฝ่ายการพยาบาล กล่าวว่า ณ ตอนนั้นกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ทราบแล้วว่าในต่างประเทศมีสถานการณ์โรคติดต่อ ตอนนั้นเรียกว่าโรคปอดอักเสบรุนแรงจากเชื้อไวรัส แต่ยังไม่ทราบว่าสายพันธุ์ไหนและสาเหตุเกิดจากอะไร
เมื่อเราได้รับโทรศัพท์ว่ามีเคสจากประเทศจีนเดินทางมาถึงสนามบิน ให้สถาบันบำราศนราดูรไปรับผู้ป่วย ณ ตอนนั้นถามว่าน้องๆ พยาบาลที่ไปรับกลัวไหม ตอบว่าทุกคนมีความกลัวอยู่ในใจ แต่ในความกลัวเราก็มีสติ เราได้มีการวางแผนการออกไปรับผู้ป่วยที่สนามบิน เตรียมทีมและชุดอุปกรณ์ป้องกันร่างกายขั้นสูงสุด คุณ สุทธิพร กล่าว
คุณ จิดาภา เล่าว่าการไปรับผู้ป่วยที่สนามบินในครั้งนั้นและอีก 3-4 ครั้งถัดมา ตนได้ใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อหรือ PPE (Personal Protection Equipment) อันประกอบไปด้วย หน้ากาก N95 แว่นตา Face Shield หมวก ถุงมือ ถุงเท้าพลาสติกและรองเท้าบูท และหลังจากที่ไปรับมาแล้วทุกครั้งตนจะสังเกตุอาการโดยการวัดไข้ตัวเองเช้าและเย็นทุกวันเป็นเวลา 14วัน
เรากำลังสู้กับเชื้อโรค
คุณอารมณ์ ดิษฐขัมภะ พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ ของสถาบันบำราศนราดูรกล่าวว่าตลอดระยะเวลา 37ปี ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าตึก ICU และปัจจุบันเป็นหัวหน้าหน่วยงานตึกแยกโรค (7/2) ตนไม่เคยเจอสถานการณ์ที่คนไข้มารับการรักษาจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน สถาบันฯ เคยดูแลคนไข้ที่เป็นโรคติดต่อ โรคติดเชื้อ เช่น โรคซาร์ส (SARS: Severe Acute Respiratory Syndrome) เมอร์ส (MERS: Middle East Respiratory Syndrome) และอีโบลา (Ebola virus disease) มาแล้ว แต่ตอนนั้นมีคนไข้แค่ไม่กี่คน ปัจจุบันห้องแยกโรคความดันลบของสถาบันฯ เต็มทุกห้อง เมื่อคนไข้เก่าย้ายออก ก็จะมีคนไข้ใหม่ย้ายเข้ามาแทน
คุณอารมณ์ กล่าวว่าโรคนี้น่ากลัวเพราะการแพร่ระบาดขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว แต่พอเห็นคนไข้ที่มาแต่ละคน คนไข้น่าสงสาร ตนก็อยากทำงานอย่างเต็มความสามารถในการดูแลคนไข้ เมื่อถามว่ากลัวไหม คุณอารมณ์ ตอบว่า ไม่ถึงกับกลัว เพราะสถาบันฯ ได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องระบบห้องความดันลบ การซ้อมใส่และถอดชุด PPE การซ้อมแผนรับผู้ป่วยโรคอุบัติใหม่ อุบัติซ้ำทุกปี
คุณ สุทธิพร กล่าวว่า เรากำลังสู้กับเชื้อโรค อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ปฏิบัติงานด้านโรคติดต่อ โดยอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อเปรียบเสมือน ‘เสื้อเกราะ’
เรานับเลยว่าในแต่ละวันเราใช้อะไรกี่ชิ้น ตอนแรกเราเตรียมสำหรับหนึ่งเดือน ต่อมาเมื่อเริ่มมีการระบาดมากขึ้น เราก็เตรียมสำหรับสามเดือน ตอนนี้ก็เตรียมล่วงหน้าต่อไปอีก นอกจากนี้ ทุกคนในสถาบันฯ ยังได้รับการฝึกซ้อมการใส่อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อหรือที่เรียกว่าชุด PPE ทุกคนจะรู้ว่าหน้ากาก N 95 ของตัวเองขนาดอะไร Face shield ใส่ตำแหน่งไหนจะได้ไม่หลุดและยังซ้อมถอด ถอดอย่างไรไม่ให้สิ่งที่ปนเปื้อนกลับเข้ามาในร่างกายคุณ สุทธิพรกล่าว
เพื่อเป็นการป้องกัน คุณจิดาภา กล่าวว่า เราคิดเสมอว่าทุกคนที่มารับบริการที่สถาบันฯ อาจเป็นโรคโควิด 19 เราต้องป้องกันตัวเอง อย่างน้อยเราต้องใส่หน้ากาก N 95 หรือหน้ากากทางการแพทย์ (surgical mask)
ทั้งคุณ จิดาภา และคุณอารมณ์ กล่าวถึงการใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อว่าต้องใช้อย่างคุ้มค่า คุณ จิดาภา เล่าว่าเมื่อสวมชุด PPE เธอและเจ้าหน้าที่ท่านอื่นจะปฏิบัติหน้าที่ติดต่อกัน 4 ชั่วโมง เพื่อที่จะไม่ต้องเปลี่ยนและทิ้งชุด PPE บ่อยๆ คุณอารมณ์ กล่าวว่าเราต้องการใช้อุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้ออย่างประหยัดโดยที่เจ้าหน้าที่ปลอดภัยด้วย
สำหรับข่าวที่บุคลากรทางการแพทย์ทั้งในและต่างประเทศติดเชื้อจากการปฏิบัติหน้าที่ คุณ อารมณ์หวังว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนในประเทศไทยจะยังได้รับการคุ้มครองอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้ออย่างเพียงพอ การพิจารณาเรื่องค่าเสี่ยงภัยเพิ่มเติมและการประกันชีวิต
‘ทุกคนใจสู้หมดเลย’
ช่วงเวลา 100 วันที่ผ่านมานับตั้งแต่โรควิด 19 แพร่ระบาดในประเทศไทย บุคลากรทางแพทย์ไทยทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน คุณ จิดาภา เล่าว่าเธอทำงานมากขึ้นและไม่ได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดในช่วงสงกรานต์
คุณ ขวัญใจ มอนไธสง พยาบาลวิชาชีพ สถาบันบำราศนราดูรกล่าวถึงเจ้าหน้าที่ที่สถาบันฯ ว่าทุกคนใจสู้ เพื่อนร่วมงานของเธอทุกคนให้กำลังใจและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ครอบครัวของเธอก็เข้าใจ รวมทั้งสถาบันฯ ก็ได้รับกำลังใจทั้งทางโซเชียล ทั้งที่มาเอง สิ่งเหล่านี้คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ของเธอและของนักรบเสื้อกาวน์ท่านอื่นที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ขณะนี้
นายแพทย์ แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย เชื่อว่าประชาชนมีบทบาทสำคัญที่สุดในการควบคุมการแพร่ระบาด นายแพทย์แดเนียล กล่าวว่าเราสามารถป้องกันตนเองและคนรอบข้างได้โดยการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยขั้นพื้นฐานอย่างเคร่งครัดเช่นการล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า ปิดปากขณะไอหรือจามด้วยแขนเสื้อ รักษาระยะห่างจากคนรอบข้าง 1-2 เมตรและอยู่บ้านให้มากที่สุด เราทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการยุติการระบาด ปกป้องเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและระบบสาธารณสุขของประเทศไทย
ขอบคุณภาพจาก: UN Women/Pathumporn Thongking
วิดีโอบอกเล่าประสบการณ์โควิด 19 - การตอบสนองของประเทศไทย