เกือบสี่สิบปีที่แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นได้บริจาคเงินให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อก่อสร้างอาคารสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข
แห่งชาติ ตลอดจนติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการ ซึ่งไม่เป็นเพียงการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่
ระบบสาธารณสุขของไทย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างทั้งสองประเทศอีกด้วย
เมื่อมีการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด 19 รายแรกนอกประเทศจีนเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563 เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดเป็นวงกว้างได้ เป็นผลให้ไม่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศเป็นระยะเวลานาน ซึ่งความสำเร็จในครั้งนั้นคงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดความพร้อมทางห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติและขาดผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อตรวจหาและวินิจฉัยโรคอุบัติใหม่ ในขณะที่หลาย ๆ ประเทศดิ้นรนเพื่อสร้างขีดความสามารถในการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด 19 นั้น ห้องปฏิบัติการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติได้ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศอื่น ๆ อาทิ เมียนมาและมัลดีฟส์ เพื่อให้สามารถตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 ได้ และต่อยอดไปยังงานที่ต้องมีความชำนาญเฉพาะทาง อย่างเช่นการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของเชื้อไวรัสเพื่อช่วยติดตามวิวัฒนาการของการแพร่ระบาด
นายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยขณะสนทนากับผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง – 2564
องค์การอนามัยโลกในประเทศไทย ได้ให้ความช่วยเหลือกระทรวงสาธารณสุขและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นับตั้งแต่แรกเริ่ม มีการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและระดมเงินทุนสนับสนุนผ่านองค์การอนามัยโลก โดยผู้ให้ทุนหลากหลายแหล่ง ซึ่งรวมถึงความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น เพื่อปรับปรุงห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 จำนวนห้าห้อง และห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 จำนวนหนึ่งห้อง รวมถึงติดตั้งอุปกรณ์ทำงานที่ทันสมัย
เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น นายคาชิดะ คาซูยะเยี่ยมชมห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 และ 3 ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติ © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง – 2564
“ห้องแล็บเหล่านี้ใช้เพื่อบริหารจัดการโรคระบาดใหญ่ที่ผ่านมาในอดีต แต่ก็เป็นไปตามคาดว่าอุปกรณ์และระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ก็เริ่มล้าสมัย” นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กล่าว “การที่รัฐบาลญี่ปุ่นบริจาคเงินจำนวนเกือบ 100 ล้านบาทให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ผ่านทางองค์การอนามัยโลกนั้น ทำให้มีแผนงานปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ทันสมัย ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานภายใน การติดตั้งระบบไอทีใหม่ ระบบทำความเย็น และงานระบบอื่นๆ เพื่อให้ห้องปฏิบัติการแห่งนี้ยังคงทำหน้าที่ในฐานะเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงในระดับโลกและระดับประเทศได้ เราพูดได้เลยว่ามีไม่กี่แห่งในประเทศที่มีขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการในระดับนี้ และมันทำให้เราจัดการกับโรคและเชื้อไวรัสได้โดยไม่ต้องมีความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ของเรา”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย นายคาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขร่วมถ่ายภาพที่ระลึกหน้าห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 และ 3 ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติ © องค์การอนามัยโลก / พลอย พุฒเพ็ง – 2564
เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ.2654 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มาเป็นประธานในพิธีรับมอบห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยปรับปรุงใหม่ จากนายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และสักขีพยานคือ นายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย
“งานด้านห้องปฏิบัติการมีความสำคัญต่อการสนับสนุนการควบคุมโรค ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยมีความจำเป็นสำหรับงานวิจัยและการวินิจฉัยจุลชีพก่อโรคที่มีอันตรายสูง” นายอนุทินกล่าว “งานวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรคโควิด 19 ต้องทำในห้องปฏิบัติการประเภทนี้” ข้อมูลที่ได้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ยังมีขีดความสามารถรองรับการตรวจวินิจฉัยโรคโควิด 19 ที่มีการส่งตัวอย่างมาจากทั่วประเทศอีกด้วย
ห้องปฏิบัติการมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพในหลายด้านด้วยกัน นอกจากสนับสนุนงานด้านการเฝ้าระวังโรค การจัดการผู้ป่วย งานพัฒนาและวิจัยแล้ว ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อ SARS-CoV-2 ในขณะที่ภัยคุกคามจากโรคโควิด 19 ยังคงอยู่ทุกแห่งหนและสายพันธุ์ใหม่ ๆ อุบัติขึ้น คงไม่มีเวลาใดที่จะเหมาะสมไปกว่านี้ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่ามีการจัดการกับเชื้อไวรัสได้ทันท่วงทีและปลอดภัยที่สุด
ขณะนี้ประเทศไทยมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมที่จะสนับสนุนการรับมือกับสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งรวมถึง การพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด 19 การรับมอบครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญของความมั่นคงทางระบบสุขภาพของไทย และแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ญี่ปุ่นในงานด้านสาธารณสุขนั้นยังคงแน่นแฟ้นมาตลอด 37 ปี
เรื่อง มี่มี๊ กระจ่างเนตร์
เอื้อเฟื้อข้อมูล นายแพทย์แดเนียล เคอร์เทสซ์ เพียงใจ บุญสุข และ กรรภิรมย์ วิบูลย์พานิช
แปล สุวิมล สงวนสัตย์
คลิก ที่นี่ เพื่อดูภาพเพิ่มเติม
หากคุณประสบปัญหาในการอ่านบทความด้านบน กรุณาติดต่อ sethawebmaster@who.int